ย้อนอดีตจากรถยนต์ไฟฟ้า ยานยนต์ที่มาแรง และเป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก ณ ขณะนี้ หลายท่านอาจคิดว่ามันเป็นของใหม่ แต่จริงๆ แล้วรถยนต์ไฟฟ้าถือกำเนิดขึ้นมาแล้วกว่า 140 ปีด้วยกัน ว่าแต่ทำไมเพิ่งมาฮิตตอนนี้ แล้วมันเริ่มต้นจากอะไร? จนกระทั่งพัฒนามาสู่รถพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเดินทางระยะไกลรุ่นแรกของโลก
ต้นกำเนิดรถยนต์ไฟฟ้า
ต้นกำเนิดรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่ของที่เพิ่งมี แต่มันถูกคิดค้นขึ้นมาก่อนหน้านี้นับร้อยปีแล้ว โดยประวัติศาสตร์รถยนต์ไฟฟ้าครั้งแรก ซึ่งการเล่าประวัติศาสตร์รถยนต์ไฟฟ้าอย่างง่ายนั้น เราขอแบ่งเป็นยุคสมัยดังนี้
รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลก
รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลก พบเมื่อ ปี ค.ศ. 1881 นาย Gustave Trouve ได้นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าภายในงานแสดงสินค้านานาชาติ d’Électricité de Paris ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่เป็นเพียงการโชว์เท่านั้น“แต่ยังไม่นับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก”
ปี ค.ศ. 1884 Thomas Parker วิศวกรไฟฟ้า ได้สร้างรถยนต์ไฟฟ้าแบบชาร์จแบตเตอร์รี่ได้ ในเมืองวูฟเวอร์แฮมพ์ตัน โดยมีหลักฐานภาพถ่ายของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ เป็นหลักฐานด้วย จุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้นั้นคือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความจุแบตเตอร์รี่สูง และสามารถชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าไปได้ “แต่ยังไม่นับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก”
รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกอย่างแท้จริง
ปี ค.ศ. 1888 Andreas Flocken นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน ได้ทำการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่มีชื่อว่า Flocken Elektrowagen โดยรถคันนี้ถูกยกให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลกอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันยังสามารถพบตัวจริงได้ในพิพิธภัณฑ์ PS.SPEICHER ในเมือง Einbeck ประเทศเยอรมัน
รถยนต์ไฟฟ้าถูกใช้งานจริงครั้งแรก ตอนไหน
แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะถูกคิดค้นได้ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่มันถูกใช้งานครั้งแรกจริงๆ ในปี ค.ศ. 1897 ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษและเมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมันถูกใช้งานในฐานะ “แท็กซี่” โดยมันถูกนำเข้ามาใช้งานแทนที่รถม้าแบบเดิม ที่มีมลภาวะจาก “ขี้ม้า” ค่อนข้างสูง
ในช่วงศตวรรษที่ 20 รถยนต์ไฟฟ้าถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยในยุคนั้นรถยนต์ไฟฟ้าถือว่าใช้งานได้ง่ายกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ในช่วงเวลานั้นมีการบันทึกไว้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าได้ถูกจำหน่ายไปมากกว่า 30,000 คันเลยทีเดียว ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้านั่นคือใช้งานได้ง่ายกว่า และไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ก็สามารถขับได้ อีกทั้งไม่มีเสียงดังแบบเครื่องยนต์เบนซินด้วย
โดยในยุคนั้น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ Anthony Electric, Baker, Columbia, Anderson, Edison, Riker, Milburn, Bailey Electric, และ Detroit Electric โดยในยุคนั้น รถยนต์ไฟฟ้าทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 105.88 กม./ชม.
จุดจบของรถยนต์ไฟฟ้ายุคแรก
จุดจบของรถยนต์ไฟฟ้ายุคแรก เกิดขึ้นจากการพัฒนารถยนต์เครื่องเบนซินที่ถูกพัฒนาให้ผลิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม และมีราคาที่ถูกลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งสามารถเติมพลังงานได้รวดเร็วกว่าการชาร์จไฟฟ้าด้วย และจุดจบของรถยนต์ไฟฟ้าในยุคแรกก็มาถึง ด้วยการคิดค้นระบบมอเตอร์สตาร์ทเครื่องยนต์ ทำให้รถยนต์สันดาปสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ง่ายกว่าการสตาร์ทด้วยมือในยุคแรก
ด้วยข้อดีของรถยนต์สันดาปยุคนั้นได้แก่ เติมพลังงานเพื่อเดินทางต่อได้รวดเร็วกว่า อีกทั้งมีราคาที่ถูกกว่า ทำให้ความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้าลดลงอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นว่ารถยนต์ที่ได้รับการยอมรับ ใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกได้กลายเป็นรถสันดาปไป
สู่ รถพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเดินทางระยะไกลรุ่นแรกของโลก “LIGHTYEAR ONE”
ในขณะที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยทางเลือกรถไฟฟ้าที่ชาร์จพลังงานจากระบบไฟฟ้าพื้นฐาน และมีผู้ผลิตรถยนต์บางรายพยายามที่จะพัฒนาระบบเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อมาเป็นอีกทางเลือกของการเดินทางด้วยพลังงานที่สะอาดไม่พึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล แต่มีผู้ผลิตรถยนต์ในเนเธอร์แลนด์ที่ชื่อว่า Lightyear มากับทางเลือกใหม่ของรถไฟฟ้าด้วยการนำเสนอ One รถไฟฟ้าที่ชาร์จพลังงานจากแสงอาทิตย์ พร้อมกับระบุว่าเป็นรถพลังงานแสงอาทิตย์เดินทางระยะไกลรุ่นแรกของโลก อีกทั้งยังสามารถชาร์จไฟฟ้าได้อีกต่างหาก
กระทั่งLightyear เผยโฉม “Lightyear 0″ เวอร์ชั่นผลิตจริงของ Lightyear One รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานอนันต์จากการนำแสงอาทิตย์มาช่วยเพิ่มระยะทางวิ่ง ซึ่งวิ่งได้นานสูงสุด 7 เดือน ในแบบ Off-grid หรือไม่ต้องอาศัยแหล่งจ่ายไฟภายนอก ซึ่งส่วนที่แตกต่างจากรถยนต์ EV ค่ายอื่น ๆ ในตลาดนั่นคือแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูงขนาด 5 ตารางเมตร (16.4 ฟุต) ที่ติดตั้งอยู่บนกระโปรงหน้ารถและหลังคาที่จะสามารถกักเก็บพลักงานเพื่อจ่ายให้รถยนต์ขับเคลื่อนไปได้ “เพิ่มเติม” ในระยะทาง 43 ไมล์ (ประมาณ 69 กิโลเมตร) ในทุก ๆ วัน
Lightyear 0 ดีไซน์ภายนอก
ไม่ใช่แค่เพียงเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เท่านั้นที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับ Lightyear 0 เพื่อให้วิ่งได้ระยะทางไกลขึ้น แต่ Lightyear ใช้การดีไซน์มาช่วยขยายระยะทางวิ่ง ตามหลักคิดของ Berlina Aerodynamica โดย Leonardo Fioravanti ที่ออกแบบไว้ตั้งแต่ปี 1967 ทำให้ Lightyear 0 เป็นรถทรงกระสวยหลังคาลาด ท้ายยาว และตัดเฉียงแบบ Kamm Tail รวมถึงการใช้พื้นผิวเรียบลื่น เก็บรายละเอียด เพื่อลดแรงฉุดของกระแสลม จนส่งผลให้ Lightyear 0 มีค่า Cd เพียง 0.19 ซึ่งต่ำสุดเท่าที่รถในเวอร์ชั่นผลิตจำหน่ายจริงจะทำได้
ขณะที่พื้นผิวตัวถังด้านบนในส่วนของฝากระโปรงหน้า หลังคารวมแผงกระจกบานหลัง รวมทั้งหมด 5 ตารางเมตร เป็นแผงโซลาร์เซลล์แบบ Built-in ส่วนเปลือกตัวถังจุดอื่นทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อช่วยให้ Lightyear 0 ที่ยาว 5,083 มม. กว้าง 1,972 มม. และสูง 1,445 มม. มีน้ำหนักตัวเพียง 1,575 กก. ถือว่าเบามากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
Lightyear 0 ดีไซน์ภายใน
สำหรับดีไซน์ภายในของ Lightyear 0 รองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง เน้นสไตล์โมเดิร์น เรียบง่าย แต่แฝงลีลาทั้งการใช้ Texture รวมถึงการใช้วัสดุที่ไม่เบียดเบียนสัตว์เพื่อความยั่งยืน เช่น หนัง Vegan ร่วมกับผ้าไมโครไฟเบอร์คุณภาพสูง สามารถรีไซเคิลได้ และประดับลายไม้จากต้นปาล์ม ติดตั้งจออินโฟเทนเมนต์ ขนาด 10.1 นิ้ว และจอดิจิทัลแสดงภาพแทนกระจกมองข้างอยู่มุมเสา A
Lightyear 0 เครื่องยนต์และสมรรถนะ
ทางด้านขุมพลังของ Lightyear 0 จะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว กระจายแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 ได้อย่างอิสระ จ่ายไฟโดยแบตเตอรี่ขนาดความจุ 60 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 10 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 160 กม./ชม. ระยะทางวิ่งคาดการณ์ 625 กม. ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง (WLTP)
แต่ถ้าหากวิ่งด้วยความเร็วคงที่ 110 กม./ชม. จะวิ่งได้ไกล 560 กม. หรือถ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เพียว ๆ ก็จะวิ่งได้สูงสุด 70 กม. ที่ความเร็ว 35 กม./ชม. โดยอ้างอิงจากการวิ่งทดสอบในช่วงฤดูใบไม้ผลิ-หน้าร้อนทางตอนใต้ของประเทศสเปน
นอกจากนี้ Lightyear ยังเคลมตัวเลขจากการทดลองวิ่งด้วยความเร็ว 35 กม./วัน ภายใต้สภาวะแดดจัดในโปรตุเกสของ Lightyear 0 ว่าไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟเลยตลอดระยะเวลา 7 เดือน ส่วนกรณีที่มีเมฆปกคลุม (ทดสอบในเนเธอแลนด์บ้านเกิด) ก็จะวิ่งได้นานถึง 2 เดือน
Lightyear 0 ราคาจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม ถึง Lightyear 0 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน เนื่องจากสามารถนำแสงอาทิตย์มาใช้งานได้ แต่ยังห่างไกลจากคำว่ารถยนต์ราคาประหยัด เพราะมีค่าตัวเริ่มต้นสูงถึง 2.5 แสนยูโร คิดเป็นเงินไทยก็ตกอยู่ราว 9.1 ล้านบาท และจะสามารถเริ่มส่งมอบให้กับผู้ที่สั่งจองได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดย Lightyear ตั้งเป้าผลิตไว้เบื้องต้นเพียง 946 คัน เท่านั้น